วันและเวลา

สวัสดีคร้าบ

เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: , | Posted On วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 at 03:42


คลิกสิคะ.. ยังมี glitter น่ารักๆไว้ส่งต่ออีกเพียบ

แนะนำตัวคร้าบ....

เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: , | Posted On at 03:35

นายศุภวิชญ์ ศรีนวล
กำลังศึกษาอยู่ทีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม
เป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด






อนาคตคร้าบ!!!
สร้างกริตเตอร์
ฟังเพลง ดารา เกมส์

vdo-ecommerce

เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: | Posted On วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553 at 03:25

e-commerce

เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: | Posted On at 03:22

ข้อดีและข้อเสียของ E-Commerce

เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: , | Posted On at 02:37

ข้อดีและข้อเสียของ E-Commerce

ข้อดี
1.สามารถเปิดดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2.สามารถดำเนินการค้าขายได้อย่างอิสระทั่วโลก
3.ใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ
4.ไม่ต้องเสียค่าเดินทางในระหว่างการดำเนินการ
5.ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ และยังสามารถประชาสัมพันธ์ในครั้งเดียวแต่ไปได้ทั่วโลก
6.สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ใช้บริการอินเทอร์เนตได้ง่าย
7.ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
8.ไม่จำเป็นต้องเปิดเป็นร้านขายสินค้าจริงๆ
ข้อเสีย
1.ต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยของระบบที่มีประสิทธิภาพ
2.ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ไม่ได้ใช้บริการอินเทอร์เนตได้
3.ขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการชำระเงินผ่านทางบัตรเครดิต
4.ขาดกฎหมายรองรับในเรื่องการดำเนินการธุรกิจขายสินค้าแบบออนไลน์
5.การดำเนินการทางด้านภาษียังไม่ชัดเจน

ประเภทของ E-Commerce
1.E-Commerce แบบ C <–> B เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ซื้อหรือผู้บริโภค (Customer)กับผู้ขาย (Business)ซึ่งเป็นการซื้อสินค้าที่พบเห็นได้ทั่วไป เช่น ลูกค้าต้องการซื้อหนังสือจากร้านขายหนังสือ
2.E-Commerce แบบ B <–> B เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ขาย (Business)กับผู้ขาย(Business) ซึ่งเป็นการขายสินค้าที่มีจำนวนมากขึ้น ต้องการความปลอดภัยมากขึ้น เช่น ร้านขายหนังสือต้องการสั่งซื้อหนังสือจากโรงพิมพ์
3.E-Commerce แบบ B <–> C เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ขาย(Business) กับผู้ซื้อ(Customer) เช่นโรงพิมพ์ต้องการซื้อต้นฉบับจากผู้เขียน
4.E-Commerce แบบ C <–> C เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ซื้อ(Customer) กับผู้ซื้อ(Customer) เช่นผู้ซื้อต้องการขายรถยนต์ของตนเองให้กับผู้ซื้ออีกคน

ความสัมพันธ์ในระบบการค้าอิเล็กทรอนิค(E-Commerce)
การดำเนินธุระกิจการค้าบนอินเทอร์เนตหรือ E-Commerce จำเป็นจะต้องมีความสัมพันธ์เกิดขึ้นกับผู้เกี่ยวข้อง โดยจะต้องมีการประสานงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การค้าอิเล็กทรอนิคประสบความสำเร็จตามที่ได้มุ่งหวังไว้ โดยผู้ที่เกี่ยวข้องกันในระบบการค้าบนอินเทอร์เนตหรือ E-Commerce มีดังนี้


เราสามารถแบ่งหน้าที่ของแต่ละส่วนได้คราวๆ ดังนี้
ธนาคาร
1.เป็น Payment Gateway ก็คือจะตรวจสอบและอนุมัติวงเงินของผู้ที่ถือบัตร เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ
2.ให้บริการบนอินเทอร์เนตผ่านทางระบบของธนาคาร โดยธนาคารจะโอนเงินค่าสินค้า หรือบริการนั้นๆ เข้าบัญชีของร้านค้า หรือสมาชิก

Transaction Processing Service Provider(TPSP) หน้าที่
1.เป็นองค์กรผู้บริหาร และพัฒนาโปรแกรมการประมวลผลการชำระค่าสินค้าหรือบริการบนอินเทอร์เนต
2.ให้บริการผ่านอินเทอร์เนตกับร้านค้า หรือ Internet Service Provider(ISP)ต่างๆ ผ่าน Gateway
3.TPSP สามารถต่อเชื่อมระบบให้กับทุกๆ ร้านค้าหรือทุกๆ ISP และสามารถชำระเงินบนอินเทอร์เนตผ่านทาง Gateway ของธนาคารได้

ลูกค้า(Customer) หน้าที่
1.สามารถชำระเงินค่าสินค้า หรือบริการได้ด้วย บัตรเครดิต บัตรเครดิตวีซ่า หรือมาสเตอร์การ์ดจากทุกสถาบันการเงินทั่วโลก
2.สามารถชำระเงินค่าสินค้า หรือบริการได้ด้วยระบบหักบัญชีเงินฝากของธนาคาร

ร้านค้า (Merchant) หน้าที่
1.เปิดร้านขายสินค้าหรือบริการผ่านระบบอินเทอร์เนต โดยการเปิด Home Page บน Site ของตนเอง
2.หรือเปิดร้านขายสินค้าหรือบริการโดยการฝาก Home Page ไว้กับ Web Site หรือ Virtual Mall ต่างๆเพื่อขายสินค้าหรือบริการผ่านระบบของธนาคาร
3.ร้านค้าต้องเปิดบัญชีและสมัครเป็นร้านค้าสมาชิก E-Commerce กับธนาคารก่อน

Internet Service Provider (ISP) หน้าที่
1.เป็นองค์กรผู้ให้บริการเชื่อมต่อระบบการสื่อสารทางอินเทอร์เนตให้กับลูกค้า ซึ่งลูกค้าในที่นี้อาจจะเป็นร้านค้าหรือบุคคลทั่วไป
2.รับและจดทะเบียน Domain หรือจัดตั้ง Virtual Mall เพื่อให้ร้านค้านำ Home Page มาฝากเพื่อขายสินค้า
จากที่ได้กล่าวมาก็เป็นส่วนหลักๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับระบบร้านค้าอิเล็กทรอนิค ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นอะไรที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่เรามาพูดให้รายละเอียดมากขึ้นเพื่อเพื่อนสมาชิกบางคนจะได้เข้าใจกันมากขึ้น สำหรับสัปดาห์นี้คงต้องพอคราวๆ กันแค่นี้ก่อนนะครับ พบกันในครั้งต่อไป เราก็จะมาให้รายละเอียดเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับระบบการร้านค้า E-Commerce กันต่อ

ขั้นตอนการเปิดร้านเพื่อดำเนินการค้าแบบ E-Commerce

จากรูปจะเห็นว่าลำดับขั้นตอนในแต่ละขั้นตอนเพื่อการเปิดร้านค้าแบบ E-Commerce นั้นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อนเลยใช่ไหมครับ
1. ในขั้นตอนแรกนั้นถ้าเราเขียน Home Page ไม่เป็นเราจะศึกษาด้วยตัวเอง หรือเพื่อเป็นการประหยัดเวลาเราสามารถจ้างให้คนอื่นเขียนเว็บไซต์ให้หรือว่าใช้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูปที่มีให้บริการอยู่หลายเว็บไซต์ หรือจะใช้บริการกับ ReadyPlanet ของเราก็ได้ครับ
2. หลังจากที่ดำเนินการในขั้นตอนแรกเสร็จแล้ว มี Home Page เป็นของตัวเองแล้วจากนั้นก็มาดำเนินการจด Domain กับเว็บไซต์ที่เปิดให้บริการ
3. เมื่อมี Domain เรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นการเปิดบริการการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต เราก็ต้องมาดำเนินการจดทะเบียนเพื่อรอรับโปรแกรมการชำระเงินผ่านทางอินเทอร์เนตจากผู้ให้บริการ TPSP
4. จากนั้นก็ขออนุมัติการเปิดร้านค้าและบัญชีเงินฝากจากธนาคารใดก็ได้ที่ให้บริการการชำระเงินผ่านทางอินเทอร์เนต เพื่อรองรับการชำระเงิน
5. หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทุกขั้นตอนที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น เรามีร้านค้าแบบ E-Commerce เป็นของเราเรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถดำเนินการธุรกิจการค้า E-Commerce ได้เลยครับ

ระบบรักษาความปลอดภัย
เนื่องจากระบบร้านค้าแบบ E-Commerce ได้เปิดให้บริการการชำระเงินผ่านทางบัตรเครดิตด้วย ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยเรื่องการชำระเงินจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งและเป็นตัวสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เว็บไซด์ของเรา ดังนั้นเราจึงขอพูดถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ในระบบอินเทอร์เนตเพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมแก่เพื่อนๆ สมาชิก ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. Encryption เป็นการเข้ารหัสและถอดรหัสระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำกิจกรรมซื้อขายในเครือข่ายอินเทอร์เนตหรือระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ ซึ่งระบบนี้เป็นระบบที่ยอมรับกันทั่วไปบนอินเทอร์เนต
2. Authentication เป็นระบบสำหรับตรวจสอบ ซึ่งจะตรวจสอบว่าเป็นผู้ได้รับอนุญาตตัวจริงให้เข้าถึงระบบและบริการในชั้นที่กำหนดให้ โดยให้แจ้งข้อมูล Password ของผู้ได้รับอนุญาต
3. Firewalls เป็นระบบที่ทำงานร่วมกันระหว่าง Hard และ Software โดย Firewalls จะวางอยู่ระหว่างเครือข่ายภายในองค์กร (Local Network)และเครือข่ายภายนอก (Internet) เพื่อป้องกันการบุกรุกจากบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาขโมยข้อมูลหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล (Hacker) โดยผ่านทางเครือข่ายภายนอก (Internet)
4. PKI System (Public Infrastructure) เป็นกลุ่มข้อ Security Services ซึ่งปรกติจัดให้โดย Certificate (CA), Authentication, Encryption และ Certificate Management ใช้เทคโนโลยีการเข้าและถอดรหัสโดยกุญแจสาธารณะ

NetSuite for Ecommerce Companies

เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: , | Posted On at 02:31

NetSuite for Ecommerce Companies
Whether you sell business-to-consumer (B2C) or business-to-business (B2B) or both, NetSuite lets you run your entire ecommerce business more efficiently—your Web store, inventory management, order fulfillment, and accounting systems, as well as your customer relationship management software. NetSuite also enables you to deliver an intuitive, "Amazon.com-like" experience to your customers, and better manage and grow your business within a single system.
In order to make the most of an online channel, companies need the tools to gather, analyse and leverage key data about their back- and front-office operations, vendors and partners, and most importantly, their customers. NetSuite’s ecommerce offering makes this possible.



ที่มา:http://www.netsuite.com.au/portal/au/industries/ecommerce.shtml

Electronic Commerce

เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: , | Posted On at 02:25


พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce)ในโลกยุคไร้พรมแดนการติดต่อสื่อสารมีความสะดวกสบายมากขึ้นโดยเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ตเริ่มเข้ามามีบทบาทและกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของหลายๆคน อินเตอร์เน็ตเปรียบเหมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลมากมายในโลกไว้ด้วยกัน ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานด้านต่างๆ เช่น ทางด้านการศึกษา การแพทย์ การค้า สื่อโฆษณาและอื่นๆมีความเกี่ยวข้องกับผู้คนในทุกสาขาอาชีพ ในส่วนของการค้านั้นอินเตอร์เน็ตมีบทบาทเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) เรียกย่อๆว่า


E-Commerce หรือธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E-Business) หรือบางครั้งก็มีผู้เรียกกันง่ายๆว่า ธุรกิจดอทคอมในความเป็นจริงการดำเนินธุรกิจการค้าที่มีการซื้อขายและการบริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของระบบอินเตอร์เน็ตโทรศัพท์ และโทรสาร หรือการค้าขายโดยแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่า EDI (Electronic Data Interchange)ถือว่าเป็นพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งสิ้น การที่มีเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้า ทั้งยังสามารถดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่งโมง โดยไม่ว่าคุณจะอยู่ที่มุมไหนในโลกก็สามารถซื้อสินค้านั้นๆได้ E-Commerce เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตกับการจำหน่ายสินค้าและบริการ โดยการนำเสนอข้อมูลข้อมูลสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเตอร์เน็ตสู่สายตาคนทั่วโลกภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทำให้เกิดช่องทางการค้ามากขึ้น ทั้งยังก็ให้เกิดรายได้ในระยะเวลาอันสั้น และในปัจจุบันได้มีผู้ให้บริการทางด้านต่างๆที่ทำให้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถดำเนินงานได้อย่างสะดวก เช่น การชำระเงินค่าสินค้าโดยสามารถชำระเงินผ่านบัตรเครดิต หรือโอนเงินผ่านทางธนาคาร รวมถึงมีผู้ให้บริการทางด้านการขนส่งที่สามารถขนส่งสินค้าไปยังทุกจุดหมายทั่วโลกได้อย่างงรวดเร็วเช่น FedEx , DHL ทำให้ผู้ขายสามารถจัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย จากที่กล่าวมานี้ทำให้เห็นได้ว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) เป็นแนวทางใหม่ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากการดำเนินธุรกิจในรูปแบบนี้ลงทุนไม่มากนัก ได้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง และสะดวกสบาย


รูปแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) มีรูปแบบการดำเนินการธุรกิจหลายรูปแบบ ดังนี้

1. Business-to-Business (B2B)

2. Business-to-Consumer (B2C)

3. Consumer-to-Business (C2B)

4. Consumer-to-Consumer (C2C)

5. Business-to-Government (B2G)


ประโยชน์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)

ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นช่องทางการค้าที่น่าสนใจมาก เพราะนับวันก็ยิ่งมีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งส่งผลให้การค้าทางอินเตอร์เน็ตขยายตัวได้อย่าง รวดเร็วและการทำธุรกิจบนเว็บไซต์นั้นสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้มากมายหลายประการ ได้แก่

1. ทำการค้าได้ตลอด 24 ชั่งโมง และขายสินค้าได้ทั่วโลก นักท่องอินเตอร์เน็ตจากทั่วทุกมุมโลกสามารถเข้ามาในเว็บไซต์ของบริษัทได้ตลอดเวลาผู้ขายสามารถนำเสนอสินค้า ผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆได้อย่างรวดเร็ว โดยคำสั่งซื้ออาจเกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมงและมาจากที่ต่างๆกัน

2. ข้อมูลทันสมัยอยู่เสมอ และประหยัดค่าใช้จ่าย พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นั้นมีประโยชน์ที่สำคัญมากอีกประการหนึ่ง คือสามารถ เสนอข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดให้กับลูกค้าได้ทันทีซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดพิมพ์เอกสาร และประหยัดเวลาในการประชาสัมพันธ์

3. ทำงานแทนพนักงานขาย และเพิ่มประสิทธิภาพการขาย พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถทำงานแทนพนักงานขายของคุณได้ โดยสามารถทำการค้าในรูปแบบอัตโนมัติ และดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการทางธุรกิจภายในองค์กรนั้นๆ

4. แทนหน้าร้าน หรือบูทแสดงสินค้า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถแสดงสินค้าที่มีอยู่ให้กับลูกค้าทั่วโลกได้มองเห็นสินค้าของคุณ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตกแต่งหน้าร้าน หรือในการเดินทางออกไปในบูทแสดงสินค้าในที่ต่างๆ

5. เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมผลิตภัณฑ์ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆมาช่วยในการทำให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น เช่น การแสดงสินค้าโดยผู้ชมสามารถดูสินค้าได้ 180 องศา หรือลูกค้าสามารถอ่านหัวข้อของหนังสือที่ต้องการซื้อก่อนได้

6. ง่ายต่อการชำระเงิน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถชำระเงินได้อย่างสะดวกสบายโดยวิธีการตัดผ่านบัตรเครดิตหรือการโอนเงินเข้าบัญชีซึ่งจะเป็นระบบอัตโนมัติ

7. เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ในโลกพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์บริษัทขนาดเล็กสามารถมีโอกาสทางธุรกิจเทียบได้กับบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆอย่าง เป็นต้นว่า ชื่อ URL ของบริษัทควรจะจำง่าย การออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามและปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ การสั่งซื้อและการชำระเงินมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี เป็นต้น

8. สร้างความประทับใจและพึงพอใจได้มากกว่า ปัจจุบันการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตทำได้อย่างง่ายดาย สินค้าและบริการมีให้เลือกมากมายทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง และเสียเวลาไปกับการค้นหาสินค้าและบริการที่ต้องการ ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วที่สุด เช่น ถ้าลูกค้าต้องการซื้อของตกแต่งบ้านจากเว็บไซต์ bangpa-in.com ลูกค้าสามารถจะค้นหาสินค้าจากประเภทของสินค้า หรือค้นหาตามรูปแบบที่ต้องการได้ ในกรณีที่ลูกค้าสั่งสินค้าและได้ให้รายละเอียดส่วนตัวไว้ ร้านค้าสามารถ บันทึก รายละเอียดของลูกค้าไว้ในฐานข้อมูลของเราเพื่อความสะดวกของลูกค้าในการสั่งซื้อสินค้าครั้งต่อไป(Member System)

9. รู้และแก้ปัญหาต่างๆได้ทันท่วงที พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถให้บริการหลังการขายได้เช่นกัน โดยใช้ประโยชน์จากอีเมลล์ในการติดต่อลูกค้า การสร้างแบบสอบถามลูกค้าเพื่อสอบถามความพึงพอใจต่อสินค้าและบริการทำให้ร้านค้าสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและทันท่วงที


มหาวิทยาลัยมหาสารคาม