วันและเวลา
ข้อดีและข้อเสียของ E-Commerce
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: ข้อดีและข้อเสียของ E-Commerce, ecommerce | Posted On at 02:37
ประเภทของ E-Commerce
1.E-Commerce แบบ C <–> B เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ซื้อหรือผู้บริโภค (Customer)กับผู้ขาย (Business)ซึ่งเป็นการซื้อสินค้าที่พบเห็นได้ทั่วไป เช่น ลูกค้าต้องการซื้อหนังสือจากร้านขายหนังสือ
2.E-Commerce แบบ B <–> B เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ขาย (Business)กับผู้ขาย(Business) ซึ่งเป็นการขายสินค้าที่มีจำนวนมากขึ้น ต้องการความปลอดภัยมากขึ้น เช่น ร้านขายหนังสือต้องการสั่งซื้อหนังสือจากโรงพิมพ์
3.E-Commerce แบบ B <–> C เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ขาย(Business) กับผู้ซื้อ(Customer) เช่นโรงพิมพ์ต้องการซื้อต้นฉบับจากผู้เขียน
4.E-Commerce แบบ C <–> C เป็นลักษณะการค้าระหว่างผู้ซื้อ(Customer) กับผู้ซื้อ(Customer) เช่นผู้ซื้อต้องการขายรถยนต์ของตนเองให้กับผู้ซื้ออีกคน
ความสัมพันธ์ในระบบการค้าอิเล็กทรอนิค(E-Commerce)
การดำเนินธุระกิจการค้าบนอินเทอร์เนตหรือ E-Commerce จำเป็นจะต้องมีความสัมพันธ์เกิดขึ้นกับผู้เกี่ยวข้อง โดยจะต้องมีการประสานงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การค้าอิเล็กทรอนิคประสบความสำเร็จตามที่ได้มุ่งหวังไว้ โดยผู้ที่เกี่ยวข้องกันในระบบการค้าบนอินเทอร์เนตหรือ E-Commerce มีดังนี้

Internet Service Provider (ISP) หน้าที่
จากที่ได้กล่าวมาก็เป็นส่วนหลักๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับระบบร้านค้าอิเล็กทรอนิค ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นอะไรที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่เรามาพูดให้รายละเอียดมากขึ้นเพื่อเพื่อนสมาชิกบางคนจะได้เข้าใจกันมากขึ้น สำหรับสัปดาห์นี้คงต้องพอคราวๆ กันแค่นี้ก่อนนะครับ พบกันในครั้งต่อไป เราก็จะมาให้รายละเอียดเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับระบบการร้านค้า E-Commerce กันต่อ
ขั้นตอนการเปิดร้านเพื่อดำเนินการค้าแบบ E-Commerce

1. ในขั้นตอนแรกนั้นถ้าเราเขียน Home Page ไม่เป็นเราจะศึกษาด้วยตัวเอง หรือเพื่อเป็นการประหยัดเวลาเราสามารถจ้างให้คนอื่นเขียนเว็บไซต์ให้หรือว่าใช้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูปที่มีให้บริการอยู่หลายเว็บไซต์ หรือจะใช้บริการกับ ReadyPlanet ของเราก็ได้ครับ
2. หลังจากที่ดำเนินการในขั้นตอนแรกเสร็จแล้ว มี Home Page เป็นของตัวเองแล้วจากนั้นก็มาดำเนินการจด Domain กับเว็บไซต์ที่เปิดให้บริการ
3. เมื่อมี Domain เรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นการเปิดบริการการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต เราก็ต้องมาดำเนินการจดทะเบียนเพื่อรอรับโปรแกรมการชำระเงินผ่านทางอินเทอร์เนตจากผู้ให้บริการ TPSP
4. จากนั้นก็ขออนุมัติการเปิดร้านค้าและบัญชีเงินฝากจากธนาคารใดก็ได้ที่ให้บริการการชำระเงินผ่านทางอินเทอร์เนต เพื่อรองรับการชำระเงิน
5. หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทุกขั้นตอนที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น เรามีร้านค้าแบบ E-Commerce เป็นของเราเรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถดำเนินการธุรกิจการค้า E-Commerce ได้เลยครับ
เนื่องจากระบบร้านค้าแบบ E-Commerce ได้เปิดให้บริการการชำระเงินผ่านทางบัตรเครดิตด้วย ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยเรื่องการชำระเงินจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งและเป็นตัวสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เว็บไซด์ของเรา ดังนั้นเราจึงขอพูดถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ในระบบอินเทอร์เนตเพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมแก่เพื่อนๆ สมาชิก ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. Encryption เป็นการเข้ารหัสและถอดรหัสระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำกิจกรรมซื้อขายในเครือข่ายอินเทอร์เนตหรือระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ ซึ่งระบบนี้เป็นระบบที่ยอมรับกันทั่วไปบนอินเทอร์เนต
2. Authentication เป็นระบบสำหรับตรวจสอบ ซึ่งจะตรวจสอบว่าเป็นผู้ได้รับอนุญาตตัวจริงให้เข้าถึงระบบและบริการในชั้นที่กำหนดให้ โดยให้แจ้งข้อมูล Password ของผู้ได้รับอนุญาต
3. Firewalls เป็นระบบที่ทำงานร่วมกันระหว่าง Hard และ Software โดย Firewalls จะวางอยู่ระหว่างเครือข่ายภายในองค์กร (Local Network)และเครือข่ายภายนอก (Internet) เพื่อป้องกันการบุกรุกจากบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาขโมยข้อมูลหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล (Hacker) โดยผ่านทางเครือข่ายภายนอก (Internet)
4. PKI System (Public Infrastructure) เป็นกลุ่มข้อ Security Services ซึ่งปรกติจัดให้โดย Certificate (CA), Authentication, Encryption และ Certificate Management ใช้เทคโนโลยีการเข้าและถอดรหัสโดยกุญแจสาธารณะ
NetSuite for Ecommerce Companies
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: ecommerce, NetSuite for Ecommerce Companies | Posted On at 02:31

Whether you sell business-to-consumer (B2C) or business-to-business (B2B) or both, NetSuite lets you run your entire ecommerce business more efficiently—your Web store, inventory management, order fulfillment, and accounting systems, as well as your customer relationship management software. NetSuite also enables you to deliver an intuitive, "Amazon.com-like" experience to your customers, and better manage and grow your business within a single system.
In order to make the most of an online channel, companies need the tools to gather, analyse and leverage key data about their back- and front-office operations, vendors and partners, and most importantly, their customers. NetSuite’s ecommerce offering makes this possible.
ที่มา:http://www.netsuite.com.au/portal/au/industries/ecommerce.shtml
Electronic Commerce
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: ecommerce, Electronic Commerce | Posted On at 02:25

กิจกรรมวันครู2
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: 16 ม.ค.วันครู, กิจกรรมวันครู2 | Posted On at 02:17
กิจกรรมวันครู
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: 16 ม.ค.วันครู, กิจกรรมวันครู | Posted On at 02:11
วันครู ประวัติวันครู ความเป็นมาวันครู
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: 16 ม.ค.วันครู | Posted On วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553 at 23:09
ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน; ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ
ความเป็นมา
วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษา ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู ด้วยเหตุนี้ในทุก ๆ ปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัยสถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า“ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บันดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง” จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความคิดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกันประชาชน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ให้วันที่ ๑๖ มกราคมของทุกปีเป็น “วันครู” โดยเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้
การจัดงานวันครู
การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรม ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครู จะมีกิจกรรม ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. กิจกรรมทางศาสนา
2. พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น
ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่งประเทศ สำหรับในส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้
รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์ จำนวน ๑,๐๐๐ รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครูอาวุโสนอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงประคุณบูรพาจารย์
มารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู
1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ
2. ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น
3. ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตน ให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานไม่ได้
4. รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใด ๆ อันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู
5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา
6. ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ
7. ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำผลงานของผู้อื่นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตน
8. ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรมไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
9. สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงานและของสถานศึกษา
10. รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน
คำปฏิญาณตนของครู
ข้อ 1. ข้าจะบำเพ็ญตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครูข้อ
2. ข้อจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติข้อ
3. ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครูและบำเพ็ญตนให้เป็น
ที่มา:http://www.zabzaa.com/event/teacher.htm
กิจกรรมจัดเลี้ยงปีใหม่2553 คุณครูและบุคลากรโรงเรียนเมืองปัตตานี
เขียนโดย frankza | | Posted On at 23:04



Hands 2010 Bangkok Countdown @ CentralWorld
เขียนโดย frankza | | Posted On at 22:31




ฉลองปีใหม่2553
เขียนโดย frankza | | Posted On at 22:25

ที่มา:http://campus.sanook.com/teen_zone/spice_02003.php
อาหารภาคอีสาน
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอีสาน, อาหารภาคอีสาน | Posted On วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553 at 23:25

การแต่งกายประจำภาคอีสาน
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: การแต่งกายประจำภาคอีสาน, ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอีสาน | Posted On at 23:17

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)
ภาษาภาคนี้สำเนียงคล้ายภาษาลาว ซึ่งเรามักจะเรียกว่าเป็นภาษา ?อีสาน? ภาษาอีสานเช่น เว้า (พูด) แซบ (อร่อย) เคียด (โกรธ) นำ (ด้วย) การแต่งกายส่วนใหญ่ใช้ผ้าทอมือ ซึ่งทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย และผ้าไหม
ผ้าพื้นเมืองอีสาน
ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดูการทำนาหรือว่างจากงานประจำอื่นๆ ใต้ถุนบ้านแต่ละบ้านจะกางหูกทอผ้ากันแทบทุกครัวเรือน โดยผู้หญิงในวัยต่างๆ จะสืบทอดกันมาผ่านการจดจำและปฏิบัติจากวัยเด็กทั้งลวดลายสีสัน การย้อมและการทอ ผ้าที่ทอด้วยมือจะนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายังเป็นการเตรียมผ้าสำหรับการออกเรือนสำหรับหญิงวัยสาว ทั้งการเตรียมสำหรับตนเองและเจ้าบ่าว ทั้งยังเป็นการวัดถึงความเป็นกุลสตรี เป็นแม่เหย้าแม่เรือนของหญิงชาวอีสานอีกด้วย ผ้าที่ทอขึ้นจำแนกออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. ผ้าทอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะต้องการความทนทานจึงทอด้วยฝ้ายย้อมสีตามต้องการ
2. ผ้าทอสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณีต่างๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรำ ผ้าที่ทอจึงมักมีลวดลายที่สวยงามวิจิตรพิสดาร มีหลากหลายสีสัน
ประเพณีที่คู่กันมากับการทอผ้าคือการลงข่วง โดยบรรดาสาวๆ ในหมู่บ้านจะพากันมารวมกลุ่มก่อกองไฟ บ้างก็สาวไหม บ้างก็ปั่นฝ้าย กรอฝ้าย ฝ่ายชายก็ถือโอกาสมาเกี้ยวพาราสีและนั่งคุยเป็นเพื่อน บางครั้งก็มีการนำดนตรีพื้นบ้านอย่างพิณ แคน โหวต มาบรรเลงจ่ายผญาโต้ตอบกัน
เนื่องจากอีสานมีชนอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม กลุ่มอีสานใต้ คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มีสีสันที่แตกต่างจากกลุ่มไทยลาว
ความเชื่อของคนอีสาน
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: ความเชื่อของคนอีสาน, ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอีสาน | Posted On at 23:06
คติความเชื่อเรื่องผีเป็นคติความเชื่อที่มีอยู่ในปัจเจกชนแต่ละคน ซึ่งพยายามหาคำตอบในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ผีเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่อยู่เหนืออำนาจการควบคุมของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มนุษย์มีความผูกพันกันและได้แสดงพฤติกรรมร่วมกันเกิดเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี
ผี ในทัศนคติของชาวบ้านเป็นผีที่มีความสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน ผีเป็นผู้ให้ความหมายหรืออาจกล่าวได้ว่า ผีเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ผีเป็นสิ่งที่รู้สึกสัมผัสได้ อาจจะไม่ใช่ด้วยระบบประสาททั้งห้า หากมันเกิดขึ้นด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา ที่ทำให้เกิดดุลยภาพในสังคมระดับชาวบ้าน แม้แต่ในราชสำนักไทยแต่เดิมพิธีกรรมต่าง ๆ ก็มีความเชื่อเรื่องผีเข้าไปปะปนอยู่มาก ความเชื่อเรื่องภูติผีนั้นฝังแน่นอยู่กับคตินิยมของคนไทยอย่างแน่นแฟ้นตั้งแต่สมัยอดีต แม้แต่ทางบ้านเมืองก็ยังมีพระราชพิธีเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องภูติผีอยู่ไม่น้อย ในรอบปีหนึ่ง ๆ เช่น การเซ่นสรวงพระเสื้อเมือง พระทรงเมืองและหลักเมือง รวมทั้งพิธีสอบสวนคดีความสมัยอดีตโดยใช้พิธีลุยไฟ ดำน้ำ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของจำเลย ซึ่งพิธีกรรมดังกล่าวเป็นความเชื่อในภูติผีวิญญาณทั้งสิ้น แม้แต่สมัยกรุงสุโขทัยซึ่งศาสนาพุทธกำลังเจริญรุ่งเรือง การนับถือผีสางก็ยังนิยมกันอยู่ ปัจจุบันในท้องถิ่นอีสานบางแห่งความเชื่อเรื่องผีก็ยังมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชุมชนอยู่มาก
สำหรับคนอีสาน ผีคือวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือที่มีอยู่แล้วโดยไม่ทราบว่ามีมาแต่เมื่อใดหรือมีมาอย่างไร ผีเหล่านี้ประกอบด้วยผีประเภทต่าง ๆ เช่น ผีนา ผีป่า ผีเขา ผีบ้าน ผีหมู่บ้าน ผีปู่ย่าตายาย ผีฟ้า ผีแถน และผีอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งผีที่เกิดจากการกระทำของบุคคล เช่น ผีปอบ ความเชื่อเรื่องผีอันเป็นความเชื่อที่มีมาแต่เดิม ผสมผสานกับความเชื่อในพระพุทธศาสนา จนแทบจะแยกกันไม่ออกว่าพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อในพระพุทธศาสนา หรือพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อเรื่องผี
ความเชื่อเรื่องผีของชาวอีสานเข้ามาผูกพันในการประกอบอาชีพ ซึ่งว่ามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของชาวอีสาน การทำนาอันเป็นอาชีพที่ขึ้นอยู่กับสภาพของธรรมชาติดินฟ้าอากาศ จะได้ผลหรือไม่ได้ผลขึ้นอยู่กับธรรมชาติ และสิ่งที่นับว่ามีความสำคัญต่อการทำนาก็คือน้ำ น้ำที่ได้จากน้ำฝน ซึ่งชาวอีสานเชื่อว่ามีผีเป็นผู้คอยบันดาลให้ฝนตก ฝนจะตกต้องตามฤดูกาลหรือไม่ มีน้ำเพียงพอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอำนาจดลบันดาลของผีแถน ก่อนลงมือทำนาเมื่อย่างเข้าฤดูฝนจึงต้องมีพิธีกรรมขอฝนจากผีแถน เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล มีน้ำมากพอที่จะได้ทำนา เมื่อได้น้ำฝนแล้ว ก่อนลงมือหว่านข้าวกล้าก็จะมีพิธีไหว้ผีระจำที่นา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าผีตาแฮก เพื่อข้าวกล้าจะได้เจริญงอกงามไม่ถูกรบกวนจากศัตรูข้าว ได้ข้าวเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อความอยู่รอดในการดำเนินชีวิต เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็มีพิธีสู่ขวัญลานนวดข้าว สู่ขวัญข้าวเพื่อเป็นสิริมงคลมีข้าวได้พอกินตลอดปี ก่อนที่จะถึงฤดูกาลทำนาในปีต่อไป ซึ่งล้วนแต่เป็นความเชื่อที่เกี่ยวกับผีทั้งสิ้น
ผีเป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจเหนือธรรมชาติที่ชาวอีสานให้ความสำคัญมาก เพราะผีผูกพันอยู่กับการดำเนินชีวิต พอแรกเกิดชีวิตก็ผูกพันกับผีทันที คือมีพิธีการสู่ขวัญเด็กแรกเกิด เพื่อให้ผีที่เชื่อว่าเป็นผีร้ายไม่ให้มาทำลายชีวิตที่จะเติบโตต่อไปในวันข้างหน้า และให้ผีที่ดีมาคุ้มครองปกปักรักษาให้เป็นคนดีมีความเจริญ มีวิถีทางในการดำเนินชีวิตที่ดีในภายภาคหน้า เมื่อเจริญวัยขึ้นการดำเนินชีวิตตามฮีตตามคอง อันเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของชาวอีสานแต่อดีต ความเชื่อเรื่องผีก็เข้าไปมีบทบาทอยู่มาก ในหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตเมื่อถึงวัยอันควรที่จะมีชีวิตคู่เข้าสู่พิธีแต่งงาน พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะดูว่าชายที่จะมาเป็นลูกเขย มีความประพฤติเป็นอย่างไร ตามฮีตตามคองหรือไม่ ประพฤติตัวผิดผีหรือไม่ เมื่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงพิจารณาเป็นที่พอใจแล้วก็จะจัดให้มีพิธีแต่งงาน ในพิธีแต่งงานนั้นช่วงหนึ่งจะมีพิธีบอกกล่าวผีบรรพบุรุษให้ทราบว่าชายหญิงคู่นี้จะใช้ชีวิตร่วมกัน ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผีปู่ย่าตายายจงมารับรู้ มาปกปักรักษาให้ชีวิตคู่ของคนทั้งสองมีการครองเรือนที่มีแต่ความสุข อย่าให้ความทุกข์มากล้ำกราย แม้ถึงคราวเจ็บป่วยความเชื่อเรื่องผีก็เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยชาวอีสานจะพิจารณาจากอาการ จากลักษณะของโรคที่เป็นแยกออกเป็นสองลักษณะคือ โรคที่เกิดจากพยาธิหรือเชื้อโรคนั่นหมายถึงเป็นโรคที่เกิดจากธรรมชาติ ต้องหายามารักษาซึ่งอาจได้จากสมุนไพรที่มีอยู่ทั่วไปหรือยาจากสาธารณสุข และถ้าไม่ใช่โรคที่เกิดจากธรรมชาติก็เกิดจากการกระทำของภูติผี หรือว่าคนป่วยไปกระทำการอันใดอันหนึ่งที่เป็นการผิดผีมา ก็จะมีวิธีการรักษาอีกแบบหนึ่ง คือใช้นางเทียม (ผู้ทรงผีฟ้า) เข้าประทับทรงติดต่อกับผีสอบถามว่าผู้ป่วยได้กระทำการอันใดที่เป็นการผิดผีหรือไม่ ถึงได้สำแดงให้ต้องเป็นไปเช่นนั้น เมื่อทราบจากนางเทียมว่าผู้ป่วยไปกระทำการอันใดที่เป็นการผิดผี ก็ให้ผู้ป่วยไปแก้ไขตรงจุดนั้น ด้วยการแต่งพิธีกรรมเพื่อขอขมาบูชาเซ่นสรวง ซึ่งบางรายก็หายจากการเจ็บป่วยจริง ๆ ก็มี อาจเป็นเพราะความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติที่ทำให้เกิดกำลังใจในการต่อสู้กับโรคภัยก็เป็นได้
อำนาจเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผียังเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของชาวอีสานแม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อมีคนตายชาวอีสานจะมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการส่งวิญญาณของผู้ที่จากไปให้ไปสู่ภพที่มีแต่ความสงบสุข ดินแดนที่ชาวอีสานเชื่อว่ามีความสงบสุขก็คือสวรรค์ จากความเชื่อที่ว่าถ้าได้ทำบุญให้ผู้ตายแล้ว ผู้ตายจะไปมีสุขอยู่บนสวรรค์น่าจะส่งผลมายังญาติพี่น้องที่อยู่ข้างหลัง คือช่วยให้คลายทุกข์โศกจากการจากไปของญาติที่เสียชีวิต ถึงแม้เขาจะจากไปแต่ก็ไปพบกับความสุขอยู่บนสวรรค์ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีแต่ความสุข สงบ สบาย แม้ผู้ตายจะตายไปนานแล้วก็ตาม ชาวอีสานก็ยังมีความเอื้ออาทรต่อผู้ตาย คือยังมีพิธีกรรมในฮีตเดือนเก้า การทำบุญข้าวประดับดินเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ให้ยังคงได้รับความสุขอยู่บนสวรรค์ โดยเชื่อว่าผีผู้ตายสามารถที่จะรับเอาส่วนบุญนี้ได้
ความเชื่อเรื่องผีของชาวอีสานยังมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับอีกหลายสิ่งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ป่า เขา ไร่ นา และหมู่บ้าน สังเกตได้จากการมีพิธีกรรมทำบุญให้ผีอย่างสม่ำเสมอเกือบตลอดทั้งปี หรือเมื่อมีเหตุการณ์ที่ผิดปกติเกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าก็จะมีการบนบานขอขมาต่อภูติผีวิญญาณ เพื่อเป็นการเรียกขวัญและกำลังใจของตนกลับคืนมา เปรียบเสมือนผีคืออำนาจเหนือธรรมชาติ ชาวอีสานมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าธรรมชาติรอบ ๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็น ป่า เขา มีภูติผีวิญญาณสิงสถิตอยู่ซึ่งมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึกที่มีอยู่ ในทัศนะเช่นนี้เป็นการเอื้อต่อการดำเนินชีวิตให้มีความสมดุลย์ในสังคมอีสาน ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ความเชื่อเรื่องผีในสังคมอีสานคล้ายกับกฎหมายในปัจจุบัน คนอีสานจึงยึดถือปฏิบัติตามฮีตสอบสองคองสิบสี่ ซึ่งหมายถึงบรรทัดฐานแห่งการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน อันมีความเชื่อเรื่องผีเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่มาก
ความเชื่อเรื่องผีมีความผูกพันกับชีวิตของคนอีสานตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เกี่ยวข้องกับชีวิตตลอดเวลา อำนาจเหนือธรรมชาติซึ่งมีผีเป็นตัวแทน จึงเป็นพื้นฐานสำคัญของวิถีชีวิตชาวอีสานมาตั้งแต่ครั้งอดีต ผีทำให้ชาวอีสานดำรงชีวิตอยู่ในสังคมเดี่ยวกันด้วยความราบรื่น สงบสุข โดยไม่ต้องมีกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีศาลมาคอยตัดสินคดีถึงสิ่งถูกผิด ความเชื่อเรื่องผีและฮีตคองในท้องถิ่นจะเป็นสิ่งที่ชี้ว่า อย่างนั้นดีอย่างนี้ไม่ดี ความเชื่อเรื่องผีความสำคัญอาจจะไม่อยู่ที่ผี แต่อยู่ที่ “ จิตสำนึกของมนุษย์ ” ก็เป็นได้
อย่าเคาะจานข้าว
เวลารับประทานอาหาร โบราณท่านถือว่า ห้ามเคาะจานข้าว เพราะจะเป็นการเรียนวิญญาณที่พเนจร เมื่อได้ยินเสียงเราเคาะจาน ก็จะพากันมาแย่งเรากินข้าว กินอาหารคาวหวานท่านต้องเคยเห็นเวลาเราไหว้ศพ หรือไหว้วันสำคัญ เราจะจัดชุดสำหรับพวกผีไม่มีญาติ และทำพิธิเรียกมากิน โดยใช้การเคาะถ้วยชาม ดังนั้นผู้ใหญ่จึงถือมาก ห้ามลูกหลานเคาะจานชามเวลากินข้าว
กลางคืนห้ามกวาดบ้าน
การกวาดบ้านเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากของคนไทย แทบทุกบ้าน จะต้องกวาดบ้าน แต่…ในอเมริกาใช้การดูดฝุ่นแทน เพราะพื้นบ้านเขานั้นปูพรม จึงไม่มีคำโบราณห้ามไว้ว่า "ห้ามดูดฝุ่นตอนกลางคืน" แต่สำหรับคนไทยนั้น โบราณถือกันมาก "การกวาดบ้านกลางคืน" เพราะการกวาดบ้านตอนกลางคืนนั้นจะ "กวาดเงินกวาดทองออกจากบ้าน" แต่… จริงๆ ผมคิดว่า คนโบราณสอนให้ลูกหลาน ระวังของมีค่าจะถูกกวาดทิ้งไป เพราะกลางคืนสมัยก่อนมืดมาก ไม่มีไฟฟ้าใช้สว่างไสวเหมือนทุกวันนี้ งดได้ก็ดีนะครับ เพราะการกวนบ้านกลางคืนมันไม่เหมาะสมทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะกลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน !!
"วันศุกร์" เป็นวันแห่งโชคลาภ วันแห่งความร่มเย็นมีความสุข "วันศุกร์" จึงเหมาะแก่งานมงคลมากกว่า เช่น แต่งงานขึ้นบ้านใหม่ หรือฉลองพิธีต่างๆ จึงไม่นิยมจัดงานอัปมงคลกันในวันศุกร์ ดังนั้น….วันศุกร์ งดการเผาศุกร์ เพราะ…เป็นการให้ทุกข์กับคนเป็น ผู้คนส่วนมากจึงนิยมแต่งงานในวันศุกร์ และไม่มีงานเผาศพในวันศุกร์ "วัน"….ก็มีความสำคัญกับการดำรงชีวิตของมนุษย์.....
ภูมิปัญญาของคนอีสาน
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: ภูมิปัญญาของคนอีสาน, ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอีสาน | Posted On at 22:56
ภูมิปัญญา หมายถึง แบบแผนการดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าแสดงถึงความเฉลียวฉลาดของบุคคลและสังคม ซึ่งได้สั่งสมและปฏิบัติสืบต่อกันมา ภูมิปัญญาจะเป็นทรัพยากรบุคคลหรือทรัพยากรความรู้ก็ได้
ภูมิปัญญาพื้นบ้าน หมายถึง การเอาทรัพยากรความรู้ ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ในท้องถิ่นแต่ละแห่ง ซึ่งอาจเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน หรือเป็นลักษณะสากลที่หลายๆ ท้องถิ่นมีคล้ายกันก็ได้ ภูมิปัญญาพื้นบ้านในแต่ละท้องถิ่นเกิดจากการที่ชาวบ้านแสวงหาความรู้เพื่อเอาชนะอุปสรรคทางธรรมชาติ ทางสังคมที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ภูมิปัญญาพื้นบ้านจึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและวิถีชีวิตชาวบ้าน เช่น
การประกอบประเพณี พิธีกรรมของชุมชน เป็นกิจกรรมที่ทำให้ผู้กระทำสบายใจ รู้สึกอบอุ่นไม่โดดเดี่ยว ให้คุณค่าทางจิตใจและความรู้สึกถือว่าเป็นพลังทางศีลธรรมหรือประเพณี การรวมกำลังช่วยกันทำงานที่ใหญ่หลวงเกินวิสัยที่จะทำได้สำเร็จคนเดียว เช่น การลงแขกสร้างบ้าน สร้างวัด สร้างถนนหนทาง หรือขุดลอกแหล่งน้ำ เป็นกิจกรรมที่แสดงถึงความเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันภายในชุมชน ทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยทั่วไปภูมิปัญญาพื้นบ้านเป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนเป็นประโยชน์แก่คนทุกระดับ มีลักษณะเด่นคือสร้างสำนึกเป็นหมู่คณะสูงทั้งในระดับครอบครัวและเครือญาติ
ถึงแม้ผู้คนไม่น้อยเห็นว่าชุมชนอีสาน เป็นดินแดนแห่งความโง่ ความจน ความเจ็บไข้ได้ป่วยอันน่าเวทนา แท้ที่จริงไม่มีมนุษย์ผู้ใดและสังคมใดที่ปล่อยให้วันเวลาผ่านเลยโดยไม่สั่งสมประสบการณ์ หรือไม่เรียนรู้อะไรเลยจากช่วงชีวิตหนึ่งของตน ไม่ว่าในภาวะสุขหรือทุกข์ คนอีสานได้ใช้สติปัญญาสั่งสมความรู้ ดังจะเห็นได้จากภาษิตอีสาน (ผญาก้อม) จำนวนไม่น้อยที่แสดงทัศนะชื่นชมคุณค่าของความรู้ในการประกอบอาชีพ และค่านิยมประการหนึ่งของชาวอีสานคือ ยกย่องความรู้และการใช้ความรู้อย่างมีคุณธรรม ดังความว่า
เงินเต็มภา บ่ท่อผญาเต็มปูม (ภา = ภาชนะ, ท่อ = เท่า, ผญา = ปัญญา, ปูม = ภูมิ)
บ่มีความฮู้อย่าเว้าการเมือง บ่นุ่งผ้าเหลืองอย่าเว้าการวัด (ความฮู้ = ความรู้, เว้า = คุย)
เกิดเป็นคนให้เฮียนความฮู้ เฮ็ดซู่ลู่เขาบ่มียำ (เฮียน = เรียน, เฮ็ดซู่ลู่ = ทื่อมะลื่อ, ยำ = เคารพ)
ให้เอาความฮู้หากินทางชอบ ความฮู้มีอยู่แล้ว กินได้ชั่วชีวัง
บ่ออกจากบ้าน บ่เห็นด่านแดนไกล บ่ไปหาเฮียน ก็บ่มีความฮู้
แม้นสิมีความฮู้เต็มพุงเพียงปาก สอนโตเองบ่ได้ ไผสิย่องว่าดี (โตเอง = ตนเอง, ย่อง = ยกย่อง)
ผู้ที่สามารถประกอบการงานได้ผลดีโดยใช้ภูมิปัญญาชาวอีสาน เรียกว่า หมอ เช่น หมอมอ คือผู้รอบรู้ด้านโหราศาสตร์ หมอว่าน คือ ผู้รอบรู้ด้านสมุนไพร หมอยา คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรค หมอลำ คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการร้องลำนำประกอบแคน หมอผึ้ง คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการหาน้ำผึ้ง ผู้มีภูมิปัญญาทุกวิชาชีพได้รับการยกย่องจากชุมชนเสมอหน้ากัน ดังความว่า
(ที่มา : พระยาคำกองสอนไพร่)
ประเพณีอีสาน
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: ประเพณอีสาน, ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอีสาน | Posted On at 22:51

ศิลปะอีสาน
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอีสาน, ศิลปะอีสาน | Posted On at 22:48

ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอีสาน
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอีสาน | Posted On at 22:43


อินเตอร์เน็ต
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: อินเตอร์เน็ตไร้สาย, Internet | Posted On at 22:31

ที่มา:http://blog.spu.ac.th/e-bu-infra-02/2009/03
อินเตอร์เน็ตไร้สาย
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: อินเตอร์เน็ตไร้สาย, Internet | Posted On at 22:25
พูดเรื่องเทคโนโลยีไร้สายในปัจจุบัน หันไปทางไหนก็มีแต่คนพูดถึงค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะกับระบบเครือข่าย ที่แค่หิ้วโน้ตบุ๊กก็สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องต่อสายแต่อย่างใด เรื่องราวของเน็ตเวิร์กไร้สาย ก็อย่างที่ได้กล่าวกันไปแล้วใน Cover Story ฉบับก่อนๆ เรียกว่าหากใครสนใจใคร่รู้เรื่องระบบเครือข่ายไร้สาย คงจะเข้าใจกันไปพอสมควรแล้วทีนี้ก็มีบางประเด็นที่น่าสนใจ สำหรับคนที่อยากนำเครือข่ายไร้สายไปประยุกต์ใช้งานด้วยตัวเอง ว่าควรต้องรู้อะไรเพิ่มเติมบ้าง โดยเนื้อหาในฉบับนี้ ผมขอนำคุณผู้อ่านเข้าสู่โลกไวร์เลสส์เน็ตเวิร์กกันอีกครั้ง เพื่ออัพเดตเนื้อหา รวมถึงการนำระบบเครือข่ายไร้สายไปใช้งานจริงด้วย
เลือกระบบให้ถูกต้อง
ระบบเครือข่ายไร้สาย หรือที่เห็นกันบ่อยๆ ในชื่อ 802.11 นั้น เป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบเครือข่ายตามมาตรฐานของ IEEE ซึ่ง 802.11 คือมาตรฐานของเครือข่ายไร้สาย หรือจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Wireless Ethernet ก็ได้ เพราะจะทำงานในรูปแบบคล้ายๆ กัน สำหรับระบบ 802.11 มีการแบ่งใช้งานอยู่ 3 มาตรฐานด้วยกัน นั่นคือมาตรฐาน a b และ g ซึ่งมาตรฐาน b กับ g นั้น จะทำงานในย่านความถี่ ISM Band ที่ 2.4 กิกะเฮิรตซ์ ส่วนมาตรฐาน a จะทำงานในย่านความถี่ ISM band 5.7 กิกะเฮิรตซ์ โดย a กับ g สามารถทำงานร่วมกันได้ ส่วน g ถือเป็นวิวัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของ b เพื่อเพิ่มความสามารถในการถ่ายโอนข้อมูลให้สูงกว่าเดิม ISM band คืออะไร? ISM ย่อมาจาก Industrial Sciences Medicine หรือคลื่นความถี่สาธารณะสำหรับอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ และการแพทย์ โดยย่านความถี่สำหรับคลื่นวิทยุในโลกนี้ จัดได้ว่ามีการควบคุมการเป็นเจ้าของหรือใช้งาน ซึ่งงานวิจัยสำหรับการขอคลื่นความถี่มาใช้งานทำได้ค่อนข้างยาก จึงมีการตั้ง ISM band นี้ขึ้นมาสำหรับการวิจัยโดยเฉพาะ โดยแบ่งเป็นสามย่านความถี่ คือ 900 เมกะเฮิรตซ์, 2.4 กิกะเฮิรตซ์ และ 5.7 กิกะเฮิรตซ์ สำหรับ Wireless Network 802.11 จะใช้สองย่านความถี่หลัง แต่เนื่องจากความถี่ 5.7 กิกะเฮิรตซ์ นั้น มีการยอมให้ใช้ได้เฉพาะบางประเทศเท่านั้น (ส่วนที่เหลืออาจจะถูกจัดสรรไปให้กับองค์กรต่างๆ ก่อนจะมีการประกาศ ISM Band ออกมา) ทำให้มาตรฐาน a ไม่สามารถใช้งานได้ในประเทศบางประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย เราจึงใช้งานได้เฉพาะ 802.11b และ g เท่านั้น (การพัฒนามาตรฐาน g ก็มาจากเหตุผลนี้เช่นกัน)
มาตรฐาน b และ g ต่างกันอย่างไร ?
ในที่นี้ขอพูดเพียงแค่มาตรฐาน b และ g เท่านั้น ส่วน a คงต้องตัดออกไป เพราะยังไงก็ไม่สามารถจะนำมาจำหน่ายอย่างถูกกฏหมายในบ้านเราได้ ซึ่งรายละเอียดของความแตกต่างระหว่างมาตรฐาน b และ g นั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง และลงรายละเอียดด้านเทคนิคค่อนข้างมาก ทั้งในเรื่องของการโมดูเลชันที่แตกต่างกัน การเข้ารหัส รวมทั้งการคอมเพรสชัน แต่สรุปโดยรวมก็คือ มาตรฐาน b กับ g จะแตกต่างกันในเรื่องของแบนวิดธ์ในการส่งข้อมูลเป็นหลัก โดยที่มาตรฐาน b ทำได้เพียง 11 เมกะบิตต่อวินาทีเท่านั้น ส่วน g สามารถทำได้ถึง 54 เมกะบิต (ซึ่งอันที่จริงความเร็ว 11 เมกะบิต และ 54 เมกะบิตที่ว่า จะมีอัตราการส่งข้อมูลได้เพียง 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เท่ากับว่า 11 เมกะบิต จะเหลือเพียงประมาณ 6 เมกะบิต ส่วน 54 เมกะบิต เหลือเพียง ประมาณ 30 เมกะบิต ส่วนที่เหลือจะเป็นการโอเวอร์เฮด เพื่อทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการส่งข้อมูลน้อยที่สุด) นอกเหนือจากเรื่องของความถี่แล้ว ยังมีผลในเรื่องของขอบเขตการใช้งานด้วย เช่น มาตรฐาน b จะมีรัศมีการให้บริการอยู่ที่ 100 ฟุต แต่ถ้าเป็น g จะลดลงมาอีก ซึ่งหมายความว่า g จะมีขอบเขตการให้บริการที่น้อยกว่า สาเหตุก็เพราะต้องการให้ข้อมูลส่งไปถึงปลายทางได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด หรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด เนื่องจากว่ายิ่งไกลเท่าไหร่ อัตราการรบกวนของคลื่นวิทยุก็จะมีสูงขึ้นเท่านั้น ดังกล่าว หากใช้มาตรฐาน g ในระยะทางเท่ากับ b การรับส่งข้อมูลก็อาจเกิดความผิดพลาดได้มากกว่า เนื่องจากความหนาแน่นของข้อมูลของมาตรฐาน g นั้น มีมากกว่า b หลายเท่า
ย่านความถี่ ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม
ปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับเครือข่ายไร้สายคือ การรบกวนกันของคลื่นสัญญาณ โดยเฉพาะย่านความถี่ 2.4 กิกะเฮิรตซ์นั้น มีอุปกรณ์มากมายที่ใช้งานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตู้ไมโครเวฟ โทรศัพท์บ้านไร้สาย และอุปกรณ์ Bluetooth ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ หรือว่าพีดีเอ ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดที่กล่าว ต่างก็สามารถรบกวนการส่งสัญญาณของเครือข่ายไร้สายได้ แถมที่หนักหนาสาหัสก็คือ หากมีการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ใกล้เครือข่ายไร้สายมากๆ เครือข่ายไร้สายนั้นๆ ก็อาจจะใช้งานไม่ได้ทีเดียว แล้วเราจะทำอย่างไรดี? อันที่จริงจากการพัฒนามาโดยตลอดทำให้ปัญหาเหล่านี้ลดน้อยลง เช่น โมโครเวฟก็มีการซิลด์ที่ดีขึ้น มีการรั่วไหลของคลื่นไมโครเวฟน้อยลง จึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดสำหรับระบบเครือข่ายไร้สาย แต่ที่ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบันก็คือ คลื่นบลูทูธ และโทรศัพท์บ้านไร้สายในย่านความถี่ 2.4 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งทางแก้ที่ดีที่สุดในตอนนี้คือ การงดใช้อุปกรณ์ประเภทนี้ในขอบเขตการใช้งานเครือข่ายไร้สาย อย่างไรก็ตาม ยังโชคดีอยู่บ้างที่ระบบจะกลับมาทำงานได้อีกครั้ง หลังจากที่ปิดหรืองดใช้อุปกรณ์ดังกล่าวไปแล้ว ไม่เพียงแค่อุปกรณต่างระบบเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการใช้งานต่างมาตรฐานกันด้วย เช่น หากต้องการนำมาตรฐาน g ไปใช้กับ b ประสิทธิภาพก็จะเหลือเพียง b เท่านั้น ดังนั้น การใช้งานจึงควรจะใช้ร่วมกับมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด
การวางระบบเครือข่ายไร้สาย
ทีนี้มาดูกันครับว่า เราจะวางระบบไร้สายกันยังไง เพราะระบบไร้สาย จะแตกต่างจากระบบที่ใช้สายในบางส่วน อย่างที่เรารู้กันว่า เน็ตเวิร์กตามบ้านสามารถเชี่อมต่อกันระหว่างเครื่อง หรือจะใช้ฮับ (Hub) เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อ ซึ่งในระบบไร้สายเองก็เช่นกัน ที่มีการเชื่อมต่ออยู่สองแบบ นั่นคือแบบที่เรียกว่า Ad Hoc Network และ อีกแบบเรียกว่า Infrastructure Network โดยทั้งสองแบบนี้ จะแตกต่างกันในเรื่องของการทำงานและโครงสร้างในการรับส่งข้อมูล สำหรับ Ad hoc network นั้น เปรียบเสมือนการเชื่อมต่อระหว่างการ์ด Wireless เข้าหากันโดยตรง เรียกว่าเป็นการเชื่อมต่อแบบ Direct ก็ได้ ส่วน Infrastructure จะเป็นการเชื่อมต่อผ่านทางแอ็กเซสพอยนต์หรือจุดให้บริการในการเชื่อมต่อ ที่เป็นเหมือนฮับหรือสวิตช์นั่นเอง ซึ่งแอ็กเซสพอยนต์นี้ สามารถต่อเข้ากับระบบเน็ตเวิร์กที่มีอยู่เดิมได้ และสะดวกสำหรับการเชื่อมต่อระหว่างเน็ตเวิร์กเดิมกับเครือข่ายไร้สายอันใหม่ สำหรับการใช้งานในวงเน็ตเวิร์กภายในบ้าน หากคุณมีระบบเน็ตเวิร์กอยู่แล้ว ก็สามารถติดตั้ง Access Point เข้ากับระบบเครือข่ายได้เลย โดยเชื่อมต่อ Access Point เหมือนกับอุปกรณ์เน็ตเวิร์กตัวหนึ่ง เพียงเท่านี้ ก็สามารถให้บริการอุปกรณ์ไวร์เลสส์อื่นๆ ได้แล้ว แต่หลังจากการติดตั้ง Access Point เราต้องระวังอยู่อย่างหนึ่ง เพราะโดยปกติแล้ว แอ็กเซสพอยนต์ที่มาจากโรงงานจะยังไม่มีการเซตค่าความปลอดภัยให้ ดังนั้นใครก็ตามที่อยู่ในรัศมีทำการของ Access Point ก็สามารถจะใช้บริการได้ทันที ทางที่ดีจึงควรจะเลือกเซตค่าการป้องกันให้กับแอ็กเซสพอยนต์เสียก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ ก็จะมีซอฟต์แวร์แถมมาพร้อมกับแอ็กเซสพอยนต์ด้วย เพื่อการใช้งานที่ปลอดภัยมากขึ้น การติดตั้ง Access Point มีข้อควรระวังคือ เรื่องของการกระจายสัญญาณ เพราะการรับส่งข้อมูลผ่านทางคลื่นวิทยุนั้น ย่อมจะมีข้อจำกัดในเรื่องของระยะทางและสิ่งกีดขวาง ที่จะทำให้คลื่นวิทยุส่งไปไม่ถึง โดยเฉพาะการส่งข้อมูลระหว่างชั้น เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนหรืออาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ มักจะมีการฝังวัสดุที่เป็นเหล็กเอาไว้ภายใน ซึ่งสามารถดูดซับคลื่นวิทยุเอาไว้ ทำให้เคลื่นวิทยุไม่สามารถส่งผ่านตัวกลางเหล่านี้ได้อย่างสะดวก เรียกว่าหากผนังห้องมีการฝังเหล็กเส้นเอาไว้จำนวนมาก คลื่นวิทยุก็จะไม่สามารถส่งผ่านผนังไปได้ ปัญหาที่พบบ่อยๆ ก็คือ การติดตั้งแอ็กเซสพอยนต์ที่อยู่คนละชั้นกับเครื่องที่ต้องการใช้งานแล้วเกิดปัญหา เพราะด้วยขนาดของเพดานที่กั้นกลางระหว่างชั้น จะทำให้สัญญาณส่งไปไม่ถึงนั่นเอง ในกรณีที่คุณติดตั้ง Wireless Network ภายในบ้าน มีความสะดวกอยู่อย่างหนึ่งคือ คุณไม่จำเป็นต้องเดินสายไปมาระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ เพียงแต่ติดตั้งแอ็กเซสพอยนต์และเสียบปลั๊กเพื่อใช้งาน ก็สามารถจะเชื่อมต่อเข้าหากันได้ทันที โดยอาจจะกำหนดหมายเลขไอพีให้กับคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องที่อยู่ในระบบ โดยไม่จำเป็นต้องต่อสายเน็ตเวิร์กเข้ากับแอ็กเซสพอยนต์แต่อย่างใด ซึ่งแอ็กเซสพอยนต์จะเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เอง ข้อควรระวังก็คือ เรื่องของสัญญาณที่ต้องครอบคลุมทุกจุดที่เราต้องใช้งาน
เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
ในปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมีบทบาทอย่างมากที่จะช่วยให้คุณก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์ได้ฉับไวมากกว่าเดิม โดยเฉพาะ ADSL ที่มีบทบาทสำคัญยิ่งสำหรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตตามบ้าน โดยเราสามารถแชร์การใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้กับคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องผ่านทางไวร์เลสส์ได้ สิ่งที่จำเป็นก็คือ การเลือกใช้โมเด็มแบบเราเตอร์ที่สามารถต่อกับระบบเครือข่ายได้เลย โดยไม่ต้องผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน แล้วนำแอ็กเซสพ้อยนต์ ไปต่อกับโมเด็มเราเตอร์ เพียงเท่านี้เราก็สามารถใช้บริการไวร์เลสส์อินเทอร์เน็ตภายในบ้านได้แล้ว โดยที่คุณไม่ต้องเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่หากเราไม่มีโมเด็มแบบเราเตอร์ งานนี้ก็ต้องอาศัยพึ่งพาคอมพิวเตอร์เพื่อเป็นแม่ข่ายในการต่อใช้งาน และให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายกันละครับ ซึ่งวิธีการก็คือ ต่อแอ็กเซสพ้อยนต์เข้ากับคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกับโมเด็มผ่านทางช่องทางอีเธอร์เน็ต ซึ่งก็สามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายได้เช่นเดียวกัน แต่จำเป็นต้องเปิดคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นตลอดเวลายามที่ใช้อินเทอร์เน็ตไร้สาย
ราคาและค่าใช้จ่าย
ข้อดีของการใช้งานเครือข่ายแบบไร้สายก็คือ คุณไม่จำเป็นต้องเดินสายเคเบิลไปมาระหว่างห้อง เพียงแค่มีจุดบริการของแอ็กเซสพอยนต์เท่านั้นก็ใช้งานได้แล้ว ซึ่งราคาโดยประมาณของแอ็กเซสพอยนต์ จะอยู่ที่ราวๆ 4-5000 บาท ส่วนราคาของการ์ดเน็ตเวิร์กนั้น โดยรวมก็ไม่ได้สูงมากนัก สำหรับเครือข่ายแบบ b จะอยู่ที่ประมาณ 1000 ถึง 2000 บาท ส่วนแบบ g นั้นจะสูงขึ้นมาหน่อย คือราวๆ 1500 ถึง 3000 บาท และการ์ดเน็ตเวิร์กก็มีขายทั้งที่เป็นแบบ PCI และ PCMCIA การ์ด เราจึงเลือกซื้อมาติดตั้งกับคอมพิวเตอร์ได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเดสก์ทอปหรือว่าโน้ตบุ๊ก สำหรับโน้ตบุ๊กส่วนใหญ๋ในปัจจุบัน จะยังคงติดการ์ดไวร์เลสส์มาตรฐาน b มาให้เป็นส่วนมาก แต่สำหรับเครื่องรุ่นใหม่ๆ ที่เพิ่งออกมา อาจจะติดแบบ b หรือ g มาให้ ซึ่งก็นับว่าสะดวกมาก เพราะคุณไม่จำเป็นต้องอัพเกรดการ์ดเน็ตเวิร์กเพิ่มเติมในภายหลัง
ค.ศ.1969(พ.ศ.2512) อาร์ป้าเน็ตได้รับทุนสนันสนุนจากหลายฝ่าย และเปลี่ยนชื่อเป็นดาป้าเน็ต (DARPANET = Defense Advanced Research Projects Agency Network) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบาย และได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละชนิดจาก 4 เครือข่ายเข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ 1)มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลองแองเจอลิส 2)สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด 3)มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาบาร่า และ4)มหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีค.ศ.1975(พ.ศ.2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่งดาป้าเน็ตได้โอนหน้าที่รับผิดชอบให้แก่หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก, IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ในอินเทอร์เน็ต, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัครทั้งสิ้น
ค.ศ.1983(พ.ศ.2526) ดาป้าเน็ตตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ จึงเป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาจนถึงปัจจุบัน เพราะ TCP/IP เป็นข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโลกสื่อสารด้วยความเข้าใจบนมาตรฐานเดียวกัน
ค.ศ.1980(พ.ศ.2523) ดาป้าเน็ตได้มอบหน้าที่รับผิดชอบการดูแลระบบอินเทอร์เน็ตให้มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation - NSF) ร่วมกับอีกหลายหน่วยงาน
ค.ศ.1986(พ.ศ.2529) เริ่มใช้การกำหนดโดเมนเนม (Domain Name) เป็นการสร้างฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distribution Database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บไซต์ www.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ในเครื่องบริการโดเมนเนมหรือไม่ ถ้ามีก็จะตอบกับมาเป็นหมายเลขไอพี ถ้าไม่มีก็จะค้นหาจากเครื่องบริการโดเมนเนมที่ทำหน้าที่แปลชื่ออื่น สำหรับชื่อที่ลงท้ายด้วย .th มีเครื่องบริการที่ thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูลของโดเมนเนมที่ลงท้ายด้วย th ทั้งหมด
ค.ศ.1991(พ.ศ.2534) ทิม เบอร์เนอร์ส ลี (Tim Berners-Lee) แห่งศูนย์วิจัย CERN ได้คิดค้นระบบไฮเปอร์เท็กซ์ขึ้น สามารถเปิดด้วย เว็บเบราวเซอร์ (Web Browser) ตัวแรกมีชื่อว่า WWW (World Wide Web) แต่เว็บไซต์ได้รับความนิยมอย่างจริงจัง เมื่อศูนย์วิจัย NCSA ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์เออร์แบน่าแชมเปญจ์ สหรัฐอเมริกา ได้คิดโปรแกรม MOSAIC (โมเสค) โดย Marc Andreessen ซึ่งเป็นเว็บเบราว์เซอร์ระบบกราฟฟิก หลังจากนั้นทีมงานที่ทำโมเสคก็ได้ออกไปเปิดบริษัทเน็ตสเคป (Browser Timelines: Lynx 1993, Mosaic 1993, Netscape 1994, Opera 1994, IE 1995, Mac IE 1996, Mozilla 1999, Chimera 2002, Phoenix 2002, Camino 2003, Firebird 2003, Safari 2003, MyIE2 2003, Maxthon 2003, Firefox 2004, Seamonkey 2005, Netsurf 2007, Chrome 2008)
ในความเป็นจริงไม่มีใครเป็นเจ้าของอินเทอร์เน็ต และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ ผู้ติดสิน ผู้เสนอ ผู้ทดสอบ ผู้กำหนดมาตรฐานก็คือผู้ใช้ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ก่อนประกาศเป็นมาตรฐานต้องมีการทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้นก่อน ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain Name ก็จะยึดตามนั้นต่อไป เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลพื้นฐานอาจต้องใช้เวลา

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดร้อยเอ็ด
เขียนโดย frankza | ป้ายกำกับ: สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดร้อยเอ็ด | Posted On at 21:41









ที่มา:http://www.roiet.go.th/newch_15.htm